womensocool.com

บทความล่าสุด

  • 6 อาหารคุมน้ำตาลในเลือด เหมาะกับคนเป็นเบาหวานที่สุด

    13 มกราคม 2022
  • น้ำมูกสีไหน บอกอะไรบ้าง คุณกำลังป่วยเป็นอะไรกันแน่

    12 มกราคม 2022
  • 5 ที่ดัดขนตา เนรมิตขนตาให้งอนสวย ดูเป๊ะมากขึ้น

    11 มกราคม 2022
  • สีกระเป๋าสตางค์ เรียกทรัพย์ ใช้แล้วเงินปัง

    10 มกราคม 2022
  • เงินขวัญถุง แบงค์มงคลเรียกทรัพย์

    9 มกราคม 2022
@2020 - All Right Reserved. Designed and Developed by womensocool.com
หมวด:

สุขภาพ

สุขภาพ

6 อาหารคุมน้ำตาลในเลือด เหมาะกับคนเป็นเบาหวานที่สุด

by womensocool 13 มกราคม 2022
written by womensocool

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าผู้ป่วยเบาหวานจะต้องมีการควบคุมอาหาร เพื่อเป็นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงจนเกินไปนั่นเอง เพราะหากเมื่อไหร่ที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ และอาจจะเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ด้วย ซึ่งวันนี้เราก็มี 6 อาหารคุมน้ำตาลในเลือดที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานมากที่สุดมาฝากดังนี้ 

อาหารคุมน้ำตาลในเลือด

1.อะโวคาโด

ในอะโวคาโดจะมีกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีผลดีต่อร่างกายทำให้ส่งผลต่อน้ำตาลในเลือด ทั้งยังมีส่วนช่วยในเรื่องของความไวต่ออินซูลิน ซึ่งดีต่อความดันโลหิตทั้ง ยั้งช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะเมแทบอลิกซินโดรม รวมถึงยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องระดับน้ำตาลในเรื่องอีกต่อไป 

2.ไขมันปลา 

โดยเฉพาะปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 , ทูน่า , แซลมอน , ซาร์ดีน , แฮร์ริ่ง , แมกเคอเรล จะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งนอกจากจะสามรถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้แล้วก็ยังสามารถช่วยลดการอักเสบและการเกิดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ของโรคหัวใจและหลอดเลือดทั้งนี้อาหารประเภทนี้ก็ยังโปรตีนสูงมากอีกด้วย ทำให้มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว 

3.กระเทียม

กระเทียมจะมีแคลอรี่ที่ต่ำมาก ๆ การทานกระเทียมจึงเป็นอีกหนึ่งอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานเนื่องจากสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ที่สำคัญสามารถช่วยลดความดันโลหิตในผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยเช่นกัน 

4.เมล็ดแฟลกซ์ 

เมล็ดแฟลกซ์จะมีอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีมีประโยชน์ต่อหัวใจ ทั้งยังมีไฟเบอร์และใยอาหารชนิดไม่ละลายอีกด้วย หากทานอย่างสม่ำเสมอจะสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีไม่น้อยแน่นอน 

5.ถั่วต่าง ๆ 

ไม่ว่าจะเป็น วอลนัม , อัลมอนด์ , พัสตาชิโอ ถั่เหล่านี้มีคาร์โบไฮเดรตสูงมาก ทั้งยังมีไฟเบอร์สูงอีกด้วย จึงสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว 

6.ผักใบเขียว

ผักใบเขียวจำพวก ปวยเล้ง , ผักเคล , ผักกาดหอม , บรอกโคลี ถือเป็นผักที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานมาก ๆ เนื่องจากอุดมไปด้วยแมกนีเซียม วิตามินเอ และยังมีไฟเบอร์สูงมากอีกด้วย โดยสารอาหารดังกล่าวจะสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีมาก ๆ 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานมากที่สุด เพราะฉะนั้นแล้วหากคุณเป็นเบาหวานสามารถทานอาหารดังกล่าวที่เรานำมาแนะนำได้เลย ซึ่งนอกจากจะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้แล้วยังเป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

13 มกราคม 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

น้ำมูกสีไหน บอกอะไรบ้าง คุณกำลังป่วยเป็นอะไรกันแน่

by womensocool 12 มกราคม 2022
written by womensocool

รู้หรือไม่ว่า น้ำมูกสามารถบ่งบอกถึงอาการป่วยของเราได้ ว่ากำลังป่วยเป็นอะไร ติดเชื้อประเภทไหน หรือใกล้จะหายป่วยแล้วหรือยัง ซึ่งจะสังเกตได้ว่าน้ำมูกของเราบางทีก็มีสีที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจกันดีกว่า ว่าน้ำมูกสีไหนบ่งบอกถึงอะไรได้บ้าง แบบไหนอันตรายไม่อันตราย 

น้ำมูก

1.น้ำมูกใส 

น้ำมูกใสจะประกอบไปด้วยน้ำแอนติบอดีที่ต่อต้านเชื้อโรค เกลือ และ โปรตีน โดยน้ำมูกสีใสนั้นจะพบได้เมื่อมีการสูดดมฝุ่นและสิ่งสกปรกเข้าไป ทำให้จมูกของเรามีการผลิตน้ำมูกใสออกมาเพื่อเป็นการล้างสิ่งสกปรกที่เข้าไปในจมูก หรือในคนที่เป็นหวัดเมื่อเริ่มมีน้ำมูกใส อาจจะสื่อให้เห็นว่านั่นคือสัญญาณของโรคภูมิแพ้ 

2.น้ำมูกสีเหลือง 

เป็นการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียในโพรงจมูก เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายส่งเซลล์ต้านเชื้อออกมานั่นเอง ส่งผลทำให้เชื้อตายไปปนกับเมือกและหนองต่าง ๆ จึงเกิดเป็นน้ำมูกเหลือง นอกจากนี้การที่น้ำมูกค้างอยู่ในโพรงจมูกเป็นเวลานาน ๆ ในช่วงที่เรานอนหลับจะเกิดการรวมตัวของสารคัดหลั่งทำให้เกิดเป็นน้ำมูกเหลืองแม้จะไม่ได้มีการติดเชื้อใด ๆ ก็ตาม แต่จะเป็นเฉพาะเวลาตื่นนอนเท่านั้น 

3.น้ำมูกสีเขียว 

เราจะพบน้ำมูกสีเขียวได้บ่อย ๆ เมื่อเกิดอาการภูมิแพ้ จากการติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย รวมไปถึงโรคไซนัสอักเสบอีกด้วย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เยื่อบุจมูกบวมและมีการสร้างน้ำมูกมากกว่าปกติ เมื่อร่างการมีการติดเชื้อจะมีการส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับเชื้อ และเซลล์เหล่านี้ก็จะทำให้น้ำมูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือสีเหลืองได้ ซึ่งการที่มีน้ำมูกเป็นสีเขียวนั้นหมายความว่ามีการติดเชื้อที่รุนแรงกว่าน้ำมูกสีเหลือง

4.น้ำมูกสีเทา

ส่วนใหญ่เราจะพบน้ำมูกสีเทาในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ที่ติดเชื้อไวรัส ทั้งยังเจอในคนที่ป่วยเป็นริดสีดวงจมูกอีกด้วย โดยการที่น้ำมูกมีสีเทาก็เกิดจากสารคัดหลั่งเข้มข้นขึ้น ทำให้จากที่มีน้ำมูกสีใส ๆ กลายมาเป็นน้ำมูกสีขุ่นและเป็นสีเทา ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษา โดยเฉพาะหากเป็นริดสีดวงจมูก จะปล่อยไว้นานๆ ไม่ได้เลยเชียว

ใครมีการเปลี่ยนแปลงสีของน้ำมูกเป็นอย่างไรกันบ้างก็ลองสังเกตตัวเองดู เพราะสีของน้ำมูกสามารถบ่งบอกอาการป่วยได้จริง แต่อย่างไรก็ตามหากรู้สึกป่วยหรือไม่สบายควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคที่แม่นยำจะดีกว่า จะได้รักษาได้อย่างถูกต้องนั่นเอง

12 มกราคม 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

บำรุงสุขภาพ ด้วยน้ำผลไม้ ที่ดีต่อสุขภาพ 7 ชนิด

by womensocool 8 มกราคม 2022
written by womensocool

ผลไม้เป็นอาหารประเภทหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากผลไม้มีวิตามินที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีได้ ตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก ซึ่งผลไม้ก็จะมีหลากหลายชนิดด้วยกัน แต่หากใครที่รู้สึกเบื่อผลไม้ อยากดื่มน้ำผลไม้ เพื่อสุขภาพ วันนี้เรามี 7 น้ำผลไม้ช่วยบำรุงสุขภาพมากฝากดังนี้ 

บำรุงสุขภาพ

1.น้ำสับปะรด

เป็นน้ำผลไม้ที่มีผลดีต่อระบบทางเดินหายใจอย่างมาก นอกจากนี้ก็ยังช่วยในเรื่องการบรรเทาอาการเจ็บคอ ช่วยลดเสมหะ และด้วยการที่สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงอยู่แล้ว จึงสามารถช่วยในเรื่องของการรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ดีมาก ๆ อีกด้วย 

2.น้ำแอปเปิ้ล

น้ำแอปเปิ้ลจะช่วยบำรุงสมอง ช่วยเสริมความจำและยังสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ทำให้ไม่เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดความจำเสื่อม และยังช่วยให้จิตสงบได้ดีทีเดียว

3.น้ำแตงโม

น้ำแตงโมที่มีรสชาติอร่อยดื่มบ่อย ๆ ช่วยบำรุงทั้งผิวและเส้นผมให้แข็งแรง และไม่เพียงแค่นี้เพราะยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย ช่วยบำรุงสายตา และที่สำคัญสามารถล้างสารพิษจากอาหารที่เรากินเข้าไปได้

4.น้ำลูกพรุน 

ในน้ำลูกพรุนจะมีกากใยที่ค่อนข้างสูง ช่วยในเรื่องของระบบการขับถ่าย ทำให้สามารถขับถ่ายได้คล่อง ลดอาการท้องผูกที่สำคัญสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงได้ด้วย แต่ก็ควรดื่มอย่างระมัดระวังในผู้ป่วยโรคไตวาย

5.น้ำแครอท 

น้ำแครอทไม่ได้เป็นแค่ผักที่นำมาประกอบอาหารเท่านั้น การดื่มน้ำแครอทเป็นประจำจะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง อ่อนเยาว์ และช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดจากสิวให้กลับมาสวยกระชับมากขึ้น ไม่เพียงแค่นี้เพราะยังช่วยในเรื่องของระบบการขับถ่ายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น 

6.น้ำองุ่น 

ผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว มีประโยชน์ไม่น้อยเลยเดียว โดยการดื่มน้ำองุ่นจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยต้านเชื้อแบททีเรีย ทำให้ไตสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7.น้ำส้ม

นอกจากการทานผลไม้สดจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินต่าง ๆ ที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การดื่มน้ำส้มคั้นสดก็ยังช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยการดื่มน้ำส้มจะช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง และช่วยกระตุ้นการงอกใหม่ของผมได้ดีทีเดียว

ทั้งหมดนี้ก็เป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพที่หากดื่มเป็นประจำจะช่วยให้มีสุขภาพที่ดีอย่างแน่นอน ทั้งยังทำให้รู้สึกสดชื่นตลอดเวลาอีกด้วย ชื่นชอบน้ำผลไม้อะไรกันบ้างก็สามารถหาลองซื้อมาไว้ดื่มกันได้เลย

8 มกราคม 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

ไอเป็นเลือด อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

by womensocool 7 มกราคม 2022
written by womensocool

ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนเลยว่า ไอเลือด คือ อาการที่เกิดจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจหรือปอดผิดปกติ ซึ่งก็จะมีหลายสาเหตุด้วยกัน ส่งผลทำให้เกิดอาการไอเป็นเลือด ซึ่งหลายคนมองข้ามอาการนี้เพียงเพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่อันตราย แต่จริง ๆ อาการไอออกเลือดนั้นเป็นอาการที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะอันตรายกว่าที่คิดแน่นอน เรามาเช็คกันว่าจริง ๆ แล้วมีสาเหตุเกิดจากอะไร

ไอเป็นเลือด เกิดจากอะไร

ไอเป็นเลือด เกิดจากอะไรกันแน่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ไอเป็นเลือดมีสาเหตุดังนี้

1.อาการระคายเคืองเมื่อมีอาการไอที่มากจนเกินไป ซึ่งการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการไอบ่อย  จนเกิดการระคายเคืองจนนำไปสู่การไอเป็นเลือดได้ 

2.หลอดลมพอง เกิดจากภาวะหลอดลมขยายตัวผิดปกติ เมื่อมีการผลิตเมือกที่มากจนเกินไปทำให้เกิดเป็นเสมหะจำนวนมาก ส่งผลทำให้ระบบทางเดินหายใจอักเสบ และเกิดอาการไอร่วมด้วย จนกลายเป็นไอเลือด

วิธีการรักษา

การรักษาจะรักษาแตกต่างกันออกไปตามสาเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งหากเป็นอาการที่ไม่รุนแรงมากนักแพทย์ก็จะทำการรักษาด้วยการให้ยาแก้ไอ เพื่อบรรเทาอาการในเบื้องต้น แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรงแพทย์ก็จะพิจารณาการรักษาตามอาการที่เหมาะสม เช่น ไอเป็นเลือดไม่รุนแรง หากปอดไม่มีความผิดปกติ ก็จะรักษาด้วยยาเฉพาะที่ หรือไอเป็นเลือดรุนแรง และมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตก็จะรักษาด้วยการควบคุมอาการด้วยเทคนิคทางการแพทย์ และการผ่าตัด 

วิธีการป้องกัน

โดยส่วนใหญ่ที่พบอาการไอเป็นเลือดนั้นมักจะมีอาการที่ไม่รุนแรงมาก แต่หากเป็นไปได้ก็ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นจะดีกว่า ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคไอเป็นเลือดแนะนำว่าควรดูแลตนเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ระวังการสูดดมสารเคมีหรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ โดยเฉพาะในเด็กและคนที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ ที่สำคัญเลือกทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ เพื่อจะได้มีสุขภาพที่ดีและไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ง่าย 

ไอ

อาการไอเป็นเลือดนั้นเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ หากทุกคนดูและตนเองดี เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อสุขภาพที่ดีและเพื่อเป็นการป้องกันการเกิดโรคแนะนำว่าควรดูแลสุขภาพให้ดีอยู่ตลอดเวลา รับรองคุณจะมีสุขภาพที่แข็งแรงและโอกาสที่จะเกิดอาการไอเป็นเลือดก็มีน้อยแน่นอน หรืออาจะไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเลยก็ได้

7 มกราคม 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
ความงามบำรุงผิวสุขภาพ

บอกลาขอบตาดำคล้ำ ด้วย 5 วิธีสุดง่าย

by womensocool 4 มกราคม 2022
written by womensocool

ขอบตาดำคล้ำเป็นหมีแพนด้า อาจจะทำให้สาวๆ เสียความมั่นใจได้ ปัญหาขอบตาดำคล้ำเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการอดนอน ความเครียด หรือโรคภูมิแพ้ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะหาสาเหตุไม่ได้ อย่างไรก็ตามหากสาวๆ กำลังประสบกับปัญหาขอบตาดำคล้ำไม่สดใส บอกลาปัญหานี้ด้วยวิธีสุดง่ายดังต่อไปนี้ได้เลย

ขอบตาดำคล้ำ

1.มาส์กใต้ดวงตา

บอกลาปัญหาขอบตาดำคล้ำด้วยวิธีมาส์กหน้า ซึ่งก็มีให้เลือกหลายสูตรด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นมาส์กด้วยแตงกวา มาส์กด้วยว่านหางจระเข้ หรือมาส์กด้วยมะเขือเทศ เป็นต้น วิธีทำก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเพียงแค่นำ แตงกวา,มะเขือเทศ หรือว่านหางจระเข้ มาหั่นบางๆ แล้วนำไปแช่เย็น จากนั้นนำมาประคบบริเวณรอบดวงตาจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัวลงทำให้รอบดวงตาชุ่มชื้นและขอบตาที่ดำคล้ำดูจางลง

2.ใช้แผ่นเจลเย็นปิดตา

แผ่นเจลเย็นเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยบรรเทาในเรื่องของการอักเสบซึ่งคน ที่เพิ่งศัลยกรรมใหม่ๆ แพทย์มักจะแนะนำให้ใช้แผ่นเจลเย็นประคบเพื่อลดการอักเสบของผิวหนัง รวมถึงคนที่มีปัญหารอบดวงตาดำคล้ำก็เช่นกัน สามารถนำแผ่นเจลเย็นแช่เย็นมาประคบบริเวณรอบดวงตาจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว และยังช่วยถนอมหลอดเลือดรอบดวงตา ลดอาการขอบตาดำคล้ำได้ดีอีกด้วย

3.เพิ่มการไหลเวียนโลหิตรอบดวงตา

การนวดบริเวณรอบดวงตาหลังจากที่เพิ่งตื่นนอน โดยการนวดจากซ้ายไปขวาวนซ้ำๆ ประมาณ 10  ครั้งจะช่วยให้เกิดการไหลเวียนโลหิตรอบดวงตาได้ดี ไม่ไปกระจุกอยู่บริเวณรอบดวงตาที่เป็นสาเหตุดำคล้ำ

4.ทาครีมบำรุงใต้ตา

การใช้ครีมบำรุงบริเวณรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งก็จะช่วยให้รอยดำคล้ำรอบดวงตาดูจางลงได้ ซึ่งในปัจจุบันนั้นก็มีครีมที่ช่วยในเรื่องขอบตาดำคล้ำเสียให้เลือกมากมายหลากหลายยี่ห้อ ควรเลือกครีมบำรุงที่ดีมีมาตรฐานได้รับการรับรองจาก อย.เท่านั้น เพราะบริเวณขอบตาคือจุดที่บอบบางหากเลือกครีมไม่ดีอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ และอาจส่งผลให้ขอบตาดำคล้ำลงมากกว่าเดิม

5.ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ดวงตาเป็นวิธีที่แก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำได้ผลมากที่สุด เพราะฟิลเลอร์จะช่วยปกปิดและช่วยสลายรอยคล้ำใต้ดวงตาได้ดี อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวใต้ดวงตาทำให้ดูกระจ่างใส สดชื่นขึ้นได้อย่างรวดเร็วปัญหาขอบตาดำส่วนใหญ่มักมาจากสาเหตุของการนอนดึกพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นสาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องขอบตาดำคล้ำเสีย ควรหมั่นดูแลตัวเองโดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างเช่น ผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน E และ C หมั่นออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ขอบตาที่ดำคล้ำเสียกลับมาสวยใสไร้รอยดำได้แล้ว

4 มกราคม 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

โอมิครอน โควิดสายพันธุ์ใหม่ แพร่เชื้อเร็วกว่าเดิม

by womensocool 3 มกราคม 2022
written by womensocool

โอมิครอน (Omicron) โรคโควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่เพิ่งเริ่มระบาดมาได้ไม่นาน และในประเทศไทยเราก็พบโควิดสายพันธุ์นี้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน โอมิครอนถือเป็นโควิดอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่แพร่ได้อย่างรวดเร็ว และมีความอันตรายมากยัง ไม่มีวัคซีนหรือยาปฏิชีวนะใดๆ  สามารถป้องกันหรือควบคุมได้ ทั่วโลกจึงต้องเฝ้าระวังและให้ประชาชนร่วมมือช่วยกันป้องกันเพื่อไม่ให้ระบาดหนักมากไปกว่านี้

โอมิครอน

อาการของโควิดสายพันธุ์ โอมิครอน

สำหรับอาการที่บ่งชี้ว่าอาจจะติดเชื้อไวรัสโควิด 19 โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่นั้น เบื้องต้นทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเตือนประชาชนให้ระวังและช่วยกันป้องกันโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่และได้ประกาศเตือนว่าหากมีอาการดังต่อไปนี้อาจจะเสี่ยงติดเชื้อโอมิครอนแล้วก็ได้

  • เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการจาม มีน้ำมูก และปวดหัว
  • ต่อมาจะเริ่มอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ และเจ็บคอ
  • บางรายจะมีอาการเหงื่อออกในช่วงเวลากลางคืน

วิธีป้องกันตัวเองให้ห่างไกลโควิด

เชื้อโควิด 19 สายพันธุ์ใหม่ โอมิครอนสามารถแพร่กระจายได้เร็ว จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องดูแลป้องกันตัวเองและคนในครอบครัวโดยการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดดังนี้

1.สวมหน้ากากอนามัย

หากพบว่ามีอาการป่วยด้วยอาการ ไอ มีน้ำมูกคล้ายเป็นไข้หวัด ให้สวมหน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อสู่คนในครอบครัวและคนรอบข้าง

2.หมั่นล้างมือให้สะอาด

ควรหมั่นล้างมือให้สะอาดเพื่อขจัดเหงื่อไขมันและสิ่งสกปรกต่างๆ ด้วยสบู่โดยใช้เวลาในการล้างมือนาน  15-20วินาทีโดยการล้างตามซอกนิ้วมือวนๆไปมาตามฝ่ามือทั้งด้านหน้าและด้านหลัง  หรือจะล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ 70%

3.ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น

ควรหลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นอย่างเช่น จาน ชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ  ควรแยกใช้ส่วนตัวโดยเฉพาะการดื่มน้ำแก้วเดียวกัน เพราะอาจเสี่ยงทำให้ติดเชื้อโควิด 19 ได้ควรระวังให้มาก

4.ดูแลควบคุมสุขอนามัยในบ้าน

ดูแลทำความสะอาดบ้านและของใช้ในบ้านด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างสม่ำเสมอ และจัดบ้านให้มีอากาศถ่ายเทเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด 19 

5.อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ

หากไม่จำเป็นก็ควรอยู่บ้านเพื่อลดความเสี่ยง ทั้งการกระจายและการรับเชื้อโดยที่ไม่รู้ตัว และหากมีการเดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดก็ควรกักตัวเองอยู่ที่บ้าน 14 วัน และหากมีอาการไอ เจ็บคอ มีน้ำมูกและมีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศาควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาโรค

สถานการณ์ระบาดโควิด 19 ทั่วโลกยังไม่ทันชาก็มีสายพันธุ์ใหม่มาเพิ่มอีกแล้ว นั่นก็คือสายพันธุ์ “โอมิครอน” เป็นสายพันธุ์ที่แพร่ได้อย่างรวดเร็วและผู้ที่ติดเชื้อก็มักจะไม่แสดงอาการใดๆ จึงยากต่อการควบคุม เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนต้องร่วมมือกันปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นเพื่อช่วยควบคุมโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้ให้ได้

3 มกราคม 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

5 อาหารที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย หลังจากอาการป่วย

by womensocool 1 มกราคม 2022
written by womensocool

หลายคนที่หายจากอาการป่วย และร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรงยังรู้สึกอ่อนเพลีย อยากจะฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม วันนี้เรามี 5 อาหารที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายสำหรับคนที่หายป่วยโควิด ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้งได้เร็วขึ้นมาแนะนำกัน จะมีอาหารอะไรบ้างมาดูกันเลย

อาหารที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย

1.อาหารโปรตีน

สำหรับคนที่เพิ่งหายป่วย ควรเน้นรับประทานอาหารประเภทโปรตีนให้มากๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น และโปรตีนยังช่วยเสริมกล้ามเนื้อให้แข็งแรง  ทดแทนสิ่งที่ขาดไปในระหว่างที่ป่วยได้ดี ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนสูงก็จะเป็นจำพวกเนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อหมู ปลา ถั่วชนิดต่างๆ เป็นต้น

2.นมและผลิตภัณฑ์จากนม

ควรบำรุงร่างกายให้กลับมาแข็งแรงด้วยการดื่มนม และผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากนม ไม่ว่าจะเป็น โยเกิร์ต ซีส หากรับประทานได้จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่สำคัญหลากหลายชนิด เช่น แคลเซียม โปรตีน และวิตามิน และยิ่งใครที่ยังกินอะไรไม่ค่อยได้ การดื่มนมจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารทดแทนได้ดี

3.ผักและผลไม้

เป็นที่ทราบกันดีว่าผักและผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนั้นจึงควรกินผักและผลไม้เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินเกลือแร่อย่างครบถ้วน ทั้งนี้ก็ต้องล้างทำความสะอาดให้ดีก่อนรับประทานด้วย เพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง และติดเชื้อโรคต่างๆ นั่นเอง

4.เติมไขมันดีให้ร่างกาย

หลังจากที่หายป่วยควรเติมไขมันดีให้กับร่างกายบ้าง เพราะไขมันดีเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญต่อร่างกาย โดยเฉพาะคนที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วย เพราะไขมันดีเป็นไขมันที่ไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันดอกทานตะวัน จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเกลือแร่ต่างๆ ได้ดี

5.อาหารเสริม 

สำหรับคนที่เพิ่งหายป่วยและยังมีอาการที่ไม่อยากอาหาร จมูกยังไม่ได้กลิ่น ลิ้นยังไม่รู้รสชาติ และยังคงมีอาการที่หายใจติดขัด การทานอาหารเสริมก็จะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ดี โดยจะเป็นอาหารเสริมชนิดชงดื่มหรือแบบแคปซูลก็ได้ โดยเลือกที่มีสารอาหารที่ครบครันหรือที่นักโภชนาการแนะนำก็จะยิ่งดี เพราะจะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้น

หลังจากที่หายป่วย ควรรีบฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม และอาหารที่เราได้แนะนำมานี้จะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายของคุณได้ดีอย่างแน่นอน ทั้งนี้ก็ควรรับประทานอาหารโดยแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ หลายๆ มื้อ ทานบ่อยๆ และหากอยากฟื้นฟูกล้ามเนื้อก็สามารถเติมอาหารจำพวกโปรตีนให้มากหน่อยได้ ไม่นานร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมอย่างแน่นอน

1 มกราคม 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

5 ผลไม้บรรเทาอาการไอ แก้เจ็บคอ

by womensocool 30 ธันวาคม 2021
written by womensocool

หากเมื่อไหร่ที่มีอาการรู้สึกเจ็บคอ คอแห้ง แต่ไม่อยากกินยาวันนี้เรามี 5 ผลไม้แก้เจ็บคอ และช่วยบรรเทาอาการไอได้ดีมาฝาก ซึ่งนอกจากจะเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการไอได้แล้วยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย มาดูกันเลยว่ามีผลไม้ชนิดไหนบ้าง

บรรเทาอาการไอ

1.มะนาว บรรเทาอาการไอ

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ามะนาวนั้นเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ดีมาก เนื่องจากมะนาวมีวิตามินซีสูง มีกรดซิตริก ที่จะสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ดี ทั้งยังทำให้รู้สึกชุ่มคออีกด้วย หากดื่มน้ำมะนาวคู่กับน้ำผึ้งจะยิ่งช่วยลดอาการแก้เจ็บคอให้บรรเทาลงได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม

2.ส้ม 

ส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงเช่นกัน ซึ่งรสเปรี้ยวของส้มจะช่วยให้ชุ่มคอมากขึ้น ส่งผลทำให้รู้สึกเจ็บคอน้อยลง ดังนั้นหากคุณมีอาการไอบ่อย ๆ การทานส้มอย่างน้อยวันละ 3 ผล หรือดื่มเป็นน้ำผลไม้สดก็ได้ รับรองเลยว่าอาการไอที่เป็นอยู่จะต้องค่อย ๆ หายดีแน่นอน อีกทั้งยังช่วยเสริมภูมิต้านทานอีกด้วย

3.มะดัน

หากรู้สึกเจ็บคอ มีอาการไอ มีเสมหะ ลองหามะดันมาทานเล่นดูสิ รสชาติที่เปรี้ยวของมะดันจะลดอาการเจ็บคอได้ เพราะในมะดันนั้นจะมีวิตามินซีสูงมาก ๆ ทำให้มะดันมีสรรพคุณในการแก้เจ็บคอ แก้ไอได้ดีนั่นเอง อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยขับเสมหะได้ด้วย เรียกได้ว่ามากไปด้วยประโยชน์จริงๆ

4.เสาวรส 

เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวแต่เปี่ยมไปด้วยวิตามินซีที่สูงมากทำให้ช่วยลดอาการเจ็บคอได้ดี ไม่เพียงแค่นี้เพราะเสาวรสยังสามารถช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ทำให้ชุ่มคออยู่ตลอดเวลา ดังนั้นอาการเจ็บคอจึงน้อยลงและค่อยๆ หายไปในที่สุด ใครที่รู้สึกเจ็บคอ ไม่ค่อยสบาย ก็ลองกินเสาวรสกันดู

5.มะขาม 

ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ทั้งยังสามารถหาทานได้ไม่ยากอีกด้วย เพราะเป็นผลไม้ที่มีทุกฤดู และด้วยการเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ทำให้การทานมะขามสามารถช่วยลดอาการหวัด อาการเจ็บคอได้ด้วยดังนั้นหากคุณมีอาการเจ็บคออยากกินอะไรเปรี้ยวๆ  เพื่อบรรเทาอาการ การกินมะขามก็จะช่วยคุณได้อย่างแน่นอน อาจจะทานแบบจิ้มเกลือหรือทานสดๆ ก็ได้ 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นผลไม้แก้เจ็บคอที่ LOTTOSOD365 นำมาฝาก เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่มีความรู้สึกว่าเริ่มมีอาการเจ็บคอ ก็ลองหาซื้อผลไม้ต่าง ๆ เหล่านี้มาทานได้เลย รับรองเลยว่าอาการไอและเจ็บคอจะต้องบรรเทาลงและหายสนิทอย่างแน่นอน

30 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

8 เมนูลดน้ำหนัก แคลอรี่ต่ำ ช่วยให้ผอมได้เร็วขึ้น

by womensocool 29 ธันวาคม 2021
written by womensocool

หลายคนชอบบ่นว่า ตัวเองอ้วน แต่กลับตามใจปากจนเผลออีกที ก็อ้วนแบบไม่รู้ตัวไปแล้ว หากคุณกำลังตกอยู่ในภาวะอ้วน วันนี้ womensocool มี 8 เมนูลดน้ำหนัก แคลอรี่ต่ำมาฝาก ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าผอมเร็ว อร่อยด้วยแน่นอน จะมีเมนูอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย

1.ผัดผักรวมมิตร 

ผัดผักรวมมิตร เป็นเมนูสุขภาพที่สามารถทานได้ไม่เบื่อ ทั้งยังทานได้ ทุกเพศทุกวัยอีกด้วย โดยการผัดนั้นแนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมัน เพื่อจะได้ลดไขมัน และเพื่อคงคุณค่าทางสารอาหารให้ครบถ้วนที่สุด

2.ปลาดอลลี่นึ่งจิ้มแจ่ว 

ปลาเป็นเมนูที่สามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีมาก ๆ ซึ่งปลาดอลลี่นึ่งก็เป็นเมนูหนึ่งที่เหมาะกับการลดความอ้วนที่สุด อาจจะทานคู่กับข้าวไรซ์เบอรี่ก็ได้ นอกจากช่วยควบคุมน้ำหนักได้แล้วยังอร่อยไม่น้อยเลยทีเดียว 

3.ขนมกล้วย 

เป็นขนมหวานที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้เช่นกัน เพราะคุณจะได้รับประโยชน์จากกล้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักได้แล้ว ยังอร่อยและอิ่มอีกด้วย

4.ต้มจืดไข่น้ำ 

หลายคนชื่นชอบเมนูนี้มาก ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่กำลังลดน้ำหนักและเด็ก ๆ  เพราะเป็นเมนูที่ทำได้ง่ายแต่บอกเลยว่าประโยชน์เยอะมาก ๆ กินได้แบบไมต้องกลัวอ้วนเลย

5.น้ำพริกปลาทู 

น้ำพริกปลาทูเป็นเมนูที่ทานคู่กับอะไรก็อร่อยมาก ๆ หากคุณกำลังควบคุมอาหารและลดน้ำหนักอยู่เมนูนี้เหมาะกับคุณไม่น้อยเลยทีเดียว และเมื่อทานคู่กับผักก็จะช่วยลดน้ำหนักได้มากขึ้นไปอีก

6.แซนด์วิชทูน่า 

เมนูที่สามารถควบคุมอาหารได้ดีอีกหนึ่งเมนู เรียกว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ตอบโจทย์ได้ดีมาก ๆ ไม่ต้องทานเยอะก็อิ่มไปได้ทั้งวัน อาจจะเลือกใช้เป็นขนมปังโฮลวีทมาทำเป็นแซนด์วิช พร้อมกับเลือกผักที่ชอบ และทูน่าเป็นไส้ได้เลย 

7.ลาบเห็ดกุ้งหมูสับ 

เมนูลดน้ำหนักไม่ได้มีแค่อาหารจืด ๆ เท่านั้นนะ แต่เมนูลาบเห็ดก็เป็นเมนูลดน้ำหนักได้ด้วยเช่นกัน ที่สำคัญนอกจากจะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้แล้วยังมีรสชาติที่แซ่บและอร่อยมาก 

เมนูลดน้ำหนัก

8.สเต็กอกไก่ เมนูลดน้ำหนักสุดฮิต

เมื่อพูดถึงเมนูลดน้ำหนักหลายคนก็คงนึกถึงเมนู สเต็กอกไก่ เพราะนี่คืออาหารที่มีโปรตีนสูง ทั้งยังมีแคลอรี่ที่น้อยมากอีกด้วย ซึ่งการทานเนื้อไก่นั้นจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มได้นาน จึงช่วยลดน้ำหนักได้ดีนั่นเอง 

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเมนูลดความอ้วนที่เรานำมาฝาก มีเมนูไหนที่คุณชื่นชอบอยู่หรือไม่ ดังนั้นหากต้องการลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร เมนูเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณกลับมาผอมได้อย่างแน่นอน 

29 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

5 สิ่งที่ควรทำ เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ

by womensocool 27 ธันวาคม 2021
written by womensocool

โรคหัวใจถือเป็นโรคที่อันตรายเป็นอันดับต้นๆ เลย เพราะหากเกิดหัวใจวายเฉียบพลันขึ้นมาก็อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ การดูแลป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคหัวใจจึงสำคัญมาก เพราะหัวใจมีเพียงแค่ดวงเดียว จึงอยากให้ทุกคนหันมาตระหนักให้ความสำคัญดูแลป้องกันให้ห่างไกลโรคหัวใจ วันนี้เราจึงมี 5 สิ่งที่ควรทำเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจมาฝากจะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลย

โรคหัวใจ

1.หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงาน ไขมันส่วนเกินและยังช่วยให้หัวใจมีอัตราการเต้นที่เหมาะสมด้วย การออกกำลังกายที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเต้นประมาณ 140 ครั้งต่อนาทีจะช่วยให้หัวใจแข็งแรง และควรออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง โดยจะออกในช่วงเวลาไหนก็ได้แล้วแต่ความสะดวก

2.ทานปลาบำรุงหัวใจ

การรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงหัวใจอย่างเช่น ปลาน้ำจืดหรือปลาทะเลที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ เพราะมีผลวิจัยจากวารสาร JAMA ได้ระบุว่าการที่ร่างกายมนุษย์ได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดโดยเฉียบพลันได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารจำพวกปลาอย่างเช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาดุก และปลาช่อนเป็นประจำ 

3.เลี่ยงไขมันทรานส์

ไขมันทรานส์ คือไขมันเพิ่มระดับไขมันเลว ซึ่งเป็นการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันทำให้น้ำมันมีสภาพกึ่งเหลวกึ่งแข็ง มักนิยมนำไปใช้เป็นส่วนผสมของเบเกอร์รี่ พาย  เวเฟอร์ โดนัท ครีมเทียม มาการีน และอาหารจำพวกจังก์ฟู๊ดส์ หากรับประทานเข้าไปจะส่งผลเสียต่อหลอดเลือดในหัวใจ และหากบริโภคเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดโรคหัวใจได้ ดังนั้นจึงควรเลี่ยง

4.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับร่างกาย เพราะร่างกายของคนเราต้องการเวลานอนเพื่อที่จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สำหรับใครที่อยากมีหัวใจที่แข็งแรงควรนอนพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และจะต้องนอนให้หลับลึกเพื่อให้ตื่นมาแล้วแจ่มใส เพราะในช่วงที่หลับลึกสมองและหัวใจจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ กล่าวคือ อุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิตจะลดลง การเต้นของหัวใจก็จะลดลงเหลือเพียง 60 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น และจะทำให้ร่างกายหลั่งโกรธฮอร์โมนออกมาด้วยนั่นเอง

5.จัดการความเครียดให้อยู่หมัด

ความเครียดก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุทำให้ร่างกายของคนเราเกิดโรคขึ้นได้หลายๆ อย่าง ถึงแม้ว่าร่างกายจะแข็งแรงเพียงใดแต่หากเกิดความเครียดก็จะเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจได้ โดยความเครียดที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลัน อย่างเช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปก็เพิ่มโอกาสการเสียชีวิตของคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วได้สูงถึง 2-3 เท่าเลย และหากใครที่มีภาวะซึมเศร้าโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจร่วมด้วยก็มีสูงด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นการจัดการความเครียดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคหัวใจนั่นเอง

ปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจมากเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอาหาร ภาวะความเครียด ทำให้เกิดโรคหัวใจได้ หากอยากห่างไกลโรคหัวใจควรหมั่นออกกำลัง  พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารให้มีประโยชน์และควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจได้แล้ว

อ่านเพิ่มเติม : womensocool

27 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
  • 1
  • 2
  • 3

ติดตามเรา

Facebook Twitter Instagram Youtube

หมวดหมู่

  • ความงาม (12)
  • ทรงผมผู้หญิง (2)
  • บทความ (2)
  • บำรุงผิว (6)
  • สุขภาพ (24)
  • เครื่องสำอาง (1)
  • ไม่มีหมวดหมู่ (286)

ผู้สนับสนุนเว็บ

  • horoupdate.com
  • lifestyledd.com
  • petssocool.com
  • travelsocool.com
  • sexlifesocool.com
  • seriesocool.com

บทความโดดเด่น

  • 1

    เคล็ดลับผิวสวย ผิวดูสุขภาพดี ที่ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก

    4 ธันวาคม 2021
  • 2

    5 ที่ดัดขนตา เนรมิตขนตาให้งอนสวย ดูเป๊ะมากขึ้น

    11 มกราคม 2022
  • 3

    ไอเป็นเลือด อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

    7 มกราคม 2022
  • 4

    สีกระเป๋าสตางค์ เรียกทรัพย์ ใช้แล้วเงินปัง

    10 มกราคม 2022

womensocool แนะนำ

  • 6 อาหารคุมน้ำตาลในเลือด เหมาะกับคนเป็นเบาหวานที่สุด

    13 มกราคม 2022
  • น้ำมูกสีไหน บอกอะไรบ้าง คุณกำลังป่วยเป็นอะไรกันแน่

    12 มกราคม 2022
  • 5 ที่ดัดขนตา เนรมิตขนตาให้งอนสวย ดูเป๊ะมากขึ้น

    11 มกราคม 2022
  • สีกระเป๋าสตางค์ เรียกทรัพย์ ใช้แล้วเงินปัง

    10 มกราคม 2022
  • Facebook
  • Twitter
  • Instagram
  • Youtube

@2020 - All Right Reserved. Designed and Developed by womensocool.com


Back To Top