womensocool.com

บทความล่าสุด

  • 6 อาหารคุมน้ำตาลในเลือด เหมาะกับคนเป็นเบาหวานที่สุด

    13 มกราคม 2022
  • น้ำมูกสีไหน บอกอะไรบ้าง คุณกำลังป่วยเป็นอะไรกันแน่

    12 มกราคม 2022
  • 5 ที่ดัดขนตา เนรมิตขนตาให้งอนสวย ดูเป๊ะมากขึ้น

    11 มกราคม 2022
  • สีกระเป๋าสตางค์ เรียกทรัพย์ ใช้แล้วเงินปัง

    10 มกราคม 2022
  • เงินขวัญถุง แบงค์มงคลเรียกทรัพย์

    9 มกราคม 2022
@2020 - All Right Reserved. Designed and Developed by womensocool.com
Author

womensocool

womensocool

ความงาม

เคล็ดลับสุดง่าย ลดรอยสิวบนใบหน้าอย่างเร่งด่วน เห็นผลดีจริง

by womensocool 22 ธันวาคม 2021
written by womensocool

สิวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกคน และเป็นปัญหากวนใจที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ อีกด้วย ซึ่งแน่นอนเลยว่านอกจากจะทำให้สาว ๆ ไม่มั่นใจแล้วยังทำให้เกิดรอยแดง รอยดำ ต่าง ๆ ตามมา เพราะฉะนั้นการดูแลผิวหน้าอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก แต่หากดูแลดีที่สุดแล้วยังเกิดสิวขึ้นมาอีก วันนี้เรามีเคล็ดลับลดรอยสิวบนใบหน้าอย่างเร่งด่วนมาฝาก ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าเห็นผลจริงแน่นอน จะมีวิธีไหนบ้างไปดูกันเลยดีกว่า 

ลดรอยสิว

1.ทายาลดรอยสิว 

เป็นวิธีที่ง่ายมาก ๆ สำหรับใครที่ต้องการลดสิวให้สิวหายเร็ว ๆ การใช้ยาลดสิวถือเป็นวิธีที่ตอบโจทย์ได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งปัจจุบันก็จะมีหลากหลายยี่ห้อให้เลือกไม่ว่าจะเป็น Mederma , Hiru Scar , Smooth E Cream เป็นต้น โดยการทาที่บริเวณสิวทุก ๆ เช้าและเย็น แต่การทายาลดสิวเพียงอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ ดังนั้นแล้วอย่าลืมที่จะดูแลผิวด้วยการทาครีมกันแดดด้วย 

2.ทาเจลว่านหางจระเข้ 

เจลว่านหางจระเข้เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่สามารถลดสิวและรอยสิวได้ดีมาก ๆ ทั้งยังช่วยลดการอักเสบของสิว ลดการเกิดรอยแดง รอยดำได้ด้วย สำหรับเจลว่านหางจระเข้นั้นก็จะมีขายอยู่ตามร้านสะดวกซื้อ หรือห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั่วไป หรือหากใครที่มีว่านหางจระเข้สดที่ปลูกไว้ก็สามารถนำมาปอกเปลือกและเอาแค่เนื้อเจลมาทาได้เลย 

3.เลเซอร์รอยสิว 

สำหรับใครที่ลองมาหลายวิธีแล้วแต่สิวกลับไม่ลดหรือหายสักที การเลเซอร์รอยสิว ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดรอยสิวได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าการทำเลเซอร์จะมีราคาที่ค่อนข้างสูงก็ตาม แต่หากทำต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีมาก  ๆ และเมื่อคุณกลับมาดูแลผิวหน้าให้ดีโอกาสที่จะเกิดสิวอีกนั้น บอกเลยว่ามีน้อยมาก 

4.ดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ 

การดื่มน้ำอย่างเพียงพอก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้สิวบนใบหน้าของคุณลดลงอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญคือไม่ทิ้งรอยดำ รอยแดงอีกด้วย นอกจากนี้การดื่มน้ำเยอะ ๆ ยังส่งผลดีต่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ เช่นกัน

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเคล็ดลับที่ womensocool นำมาฝาก หากใครที่กำลังเป็นมีปัญหารอยสิว และมองหาวิธีลดรอยสิวอยู่ละก็สามารถที่จะนำเคล็ดลับต่าง ๆ ที่เรานำมาฝากไปใช้ได้เลย รับรองเลยว่าผลลัพธ์ที่ได้คุณจะต้องพึงพอใจมาก ๆ อย่างแน่นอน หรือหากใครมีวิธีไหนก็สามารถนำมาปรับใช้ร่วมกันได้เลย เพื่อการมีผิวหน้าที่สุขภาพดีนั่นเอง 

22 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

สังเกตด่วน! 6 อาการบ่งบอกว่าคุณ อาจกำลังเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม

by womensocool 21 ธันวาคม 2021
written by womensocool

มะเร็งเต้านม ถือเป็น สาเหตุ ของ การเสียชีวิตของผู้หญิงไทยเป็นอันดับ 1 แต่หากเราสนใจและหมั่นสังเกตอาการต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มต้น โอกาสที่จะรักษาหายมีสูงมาก แต่ด้วยอาการของโรคที่มักจะไม่แสดงอาการใด ๆ ทำให้หลายคนมองข้ามโรคนี้ จนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้เราเลยมี 6 อาการของโรคมะเร็งเต้านมมาบอกให้รู้ ไปสังเกตกันเลยว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่

มะเร็งเต้านม

1.คลำที่นมแล้วพบก้อนเนื้อ หรือมีก้อนเนื้อที่ใต้รักแร้ 

คุณผู้หญิง ทั้งหลาย สามารถทำได้เองง่าย ๆ ที่บ้านได้เลย โดย ก้อนเนื้อ ที่พบเมื่อ กดลงไป จะรู้สึกเจ็บหรือไม่เจ็บแล้วแต่บุคคล แนะนำให้คลำช่วงหลังรอบเดือนหมดหนึ่งสัปดาห์ 

2.มีขนาดหรือรูปร่างของเต้านมที่เปลี่ยนไป 

ถึงแม้ว่า ปกติของคนเรา จะมีขนาดของ เต้านมที่ไม่เท่ากัน และมีรูปแบบที่ต่างกันอยู่แล้ว แต่การหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเต้านมบ่อย ๆ เป็นเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนควรทำ เพราะเมื่อไหร่ที่สังเกตเห็นว่าลักษณะของเต้านมผิดปกติไปจากเดิม จะได้สามารถปรึกษาแพทย์และรักษาได้ทัน 

3.ผิวหนังที่เต้านมบุ๋มลงไปมีลักษณะคล้ายลักยิ้ม 

หากผิวบริเวณเต้านมบุ๋มลงไป หรือมีอาการคล้ายกับเปลือกส้ม รวมถึงสีที่บริเวณลานหัวนมเข้มขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุทันที เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งเต้านมเช่นกัน

4.มีน้ำเหลืองหรือของเหลวไหลออกมาจากเต้านม 

หากพบว่า มีน้ำเหลืองหรือของเหลวที่มีสีคล้ายกับเลือดออกมาที่บริเวณหัวนมเพียงรูเดียว ควรรีบพบแพทย์ และทำการตรวจหาโรคทันที เพราะนั่นคงไม่ปกติแล้วแน่ ๆ

5.มีความผิดปกติที่เต้านมหรือเต้านมอักเสบ 

หากมีอาการเจ็บที่เต้านมซึ่งไม่ใช่อาการที่เกิดจากการมีประจำเดือน และพบว่ามีการอักเสบร่วมกับมีก้อนเนื้อ คุณไม่ควรละเลยแต่ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยด่วน

6.มีผื่นคันที่เต้านมรักษาไม่หาย 

ผื่นคันที่หัวนมโดยส่วนใหญ่นั้นจะมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ หลายคนอาจจะพบแพทย์ และรับการรักษาแล้วแต่ก็ไม่หายสักที คุณควรพบแพทย์เฉพาะทางและวินิจฉัยหาโรคที่แท้จริงทันที ซึ่งนี่ก็เป็นอาการหนึ่งของโรคมะเร็งเต้านมเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ก็เป็น 6 อาการสังเกตว่าเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่ เพราะฉะนั้นแล้วคุณผู้หญิงทั้งหลายจึงไม่ควรปล่อยละเลย อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวเต้านมของตนเองเด็ดขาด หากปล่อยไว้นานและพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมจะทำให้ไม่สามารถรักษาได้ทันและทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด

อ่านหนังสือ : womensocool

21 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

สาวนักดื่มต้องอ่าน! 7 อาหารช่วยแก้อาการแฮงก์ได้ดี

by womensocool 20 ธันวาคม 2021
written by womensocool

คุณเป็นสาวนักดื่มที่ชอบมีอาการแฮงก์บ่อย ๆ หรือไม่ วันนี้เรามี 7 อาหารช่วยแก้อาการแฮงก์ได้ดีมาฝาก รับรองเลยว่าช่วยได้อยู่หมัดแน่นอน ไม่ว่าคุณจะแฮงก์มากแค่ไหนก็เอาอยู่ โดยจะมีอาหารอะไรบ้างนั้นเราไปดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า 

สาวนักดื่ม

1.ข้าวสวย 

ข้าวสวยร้อน ๆ แถมย่อยง่าย ให้พลังงานได้ดี ตื่นเช้ามาทานข้าวก่อนเลย จะช่วยให้อาการแฮงก์ดีขึ้นอย่างแน่นอนแถมรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเดิมอีกด้วย

2.ป๊อปคอร์นของกินที่สาวนักดื่มควรมีติดบ้าน

หลังจากที่เมามาทั้งคืนก็ควรที่จะเติมเกลือแร่ให้กับร่างกายสักหน่อย ด้วยการทานของเค็ม ๆ จะช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะป๊อปคอร์นเป็นขนมที่ไม่ทอดด้วยน้ำมันทำให้ไม่อ้วนและไม่เลี่ยนนั่นเอง ที่สำคัญหาซื้อได้ง่ายอีกด้วย 

3.ซีเรียลธัญญาหารกับนมไขมันต่ำ 

หลังจากที่จัดหนักมาทั้งคืน ควรเติมพลังงานให้กับร่างกาย โดยเริ่มจากการทานอาหารเบา ๆ ย่อยง่าย อย่างซีเรียลกับนมไขมันต่ำกันหน่อย แถมได้ประโยชน์อีกด้วย ที่สำคัญช่วยแก้อาหารแฮงก์ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว 

4.ซุปหรือข้าวต้มร้อน ๆ 

ตื่นเช้ามาหาอะไรร้อน ๆ ซดก่อนเลยจะช่วยอาการแฮงก์ได้แน่นอน เพราะของร้อนจะช่วยทำให้สบายคอขึ้น ช่วยลดอาการแฮงก์ได้ดีโดยอาจจะทานเป็นซุปหรือข้าวต้มร้อนๆ ก็ได้ รับรองว่าได้ผล

5.สตรอว์เบอรี่ 

ดื่มน้ำสตรอว์เบอรี่คั้นสด ๆ สักแก้วก่อนทานอาหารจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายได้ไม่น้อยเลยทีเดียวหรือจะทานแบบผลสด ๆ ก็ได้เช่นกัน นอกจากจะสดชื่นแล้วยังอร่อยอีกด้วย สามารถทานเพื่อแก้อาการแฮงก์ได้ดีสุดๆ

6.แตงโม 

ผลไม้ที่หลายคนชื่นชอบเพราะมีความหวานอร่อย ที่สำคัญมีคุณสมบัติช่วยถอนพิษเหล้าได้ด้วย  ช่วยแก้อาการกระหายน้ำได้ดี รับรองได้ทานแตงโมคุณจะต้องสดชื่นแน่นอน 

7.น้ำเก๊กฮวย 

น้ำเก็กฮวยแก้วใหญ่ ๆ สักแก้วหน่อยไหมช่วยแก้อาการแฮงก์ได้ดีไม่น้อยเช่นกันหากใครตื่นมาแล้วรู้สึกหัวหมุน บ้านหมุนการดื่มน้ำเก๊กฮวยจะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว และยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกเพียบเลยล่ะ

เป็นอย่าไรกันบ้างสาว ๆ คนไหนชอบดื่มก็ลองหาอาหารเหล่านี้ติดตู้เย็นไว้บ้างก็ดีนะ เพราะสามารถช่วยแก้อาการแฮงก์จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ไม่น้อยทีเดียว แถมยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วชอบดื่มก็ต้องรู้จักที่จะดูแลตัวเองด้วย หากมีอาการแฮงก์บ่อย ๆ ก็คงไม่ไหวแน่นอน  

อ่านเพิ่มเติม : womensocool

20 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

นอนไม่หลับ ทำอย่างไรดี ลอง 6 วิธีนี้หรือยัง

by womensocool 19 ธันวาคม 2021
written by womensocool

หลายคนอาจจะกำลังเผชิญกับปัญหานอนไม่หลับ หลับยาก ที่อาจจะเกิดจากความเครียดหรือปัจจัยอื่น ๆ จนทำให้ร่างกายอ่อนแอ ดูโทรมและยังส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย วันนี้เราเลยมี เคล็ดลับช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นมาฝาก กับ 6 วิธีดังต่อไปนี้ 

นอนไม่หลับ

1.นอนไม่หลับควรอ่านหนังสือก่อนนอน

การอ่านหนังสือจะช่วยให้คุณมีความรู้สึกสงบมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ดังนั้นเมื่อคุณมีจิตใจที่สงบคุณจะสามารถนอนหลับได้อย่างสบาย และที่สำคัญช่วยให้หลับสนิทและไม่ฝันร้ายบ่อย ๆ อีกด้วย ดังนั้นนอนไม่หลับก็ลองหาหนังสือที่ชอบมาอ่านก่อนนอนได้เลย

2.ไม่เล่นมือถือก่อนนอน 

หากถึงเวลาเข้านอนแล้วก่อนเข้านอนคุณจะต้องไม่เล่นมือถือ เพราะแสงสีฟ้าจะทำให้รู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้คุณอาจจะนอนไม่หลับได้ นอกจากนี้การเล่นมือถือก่อนนอนยังส่งผลให้เกิดความเครียดอีกด้วย และคุณก็จะนอนไม่หลับนั่นเอง 

3.จัดห้องให้น่าอยู่ 

หากรู้สึกนอนไม่หลับเลย ก็ลองปรับเปลี่ยนห้องนอนให้น่าอยู่ขึ้นด้วยการทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าปูที่นอนที่มีสีสวยสดใส จัดให้โล่ง ปลอดโปร่ง พยายามอย่าให้รก เพราะห้องที่รกจะทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก จึงส่งผลทำให้นอนไม่หลับได้ 

4.ทานอาหารเสริมวิตามินเมลาโทนิน 

เมลาโทนินเป็นอาหารเสริมที่ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น โดยจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย จนนอนหลับได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นอาหารเสริมที่ช่วยชะลอวัย และยังช่วยในเรื่องการพักผ่อนได้ดีมาก ๆ อีกด้วย 

5.ดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นก่อนนอน 

น้ำผึ้งมีสรรพคุณหลาย ๆ อย่างที่จะช่วยดูแลสุขภาพให้ดีอยู่ตลอดเวลา การดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นก่อนนอนจะช่วยให้คุณหลับได้ง่ายขึ้นแน่นอน ทั้งยังทำให้รู้สึกชุ่มคอ หายใจสะดวก ไม่เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ 

6.ฟังเพลงเบา ๆ ก่อนนอน

หากนอนไม่หลับจริง ๆ ก็ลองเปิดเพลงเบา ๆ ฟังก่อนนอนดูสิ เพราะจะช่วยกล่อมให้คุณสามารถหลับได้ง่ายขึ้น เหมือนกับเด็กที่ถูกกล่อมด้วยเสียงเพลงนั่นเอง 

เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีที่จะทำให้คุณสามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้นที่เรานำมาฝาก ซึ่งก็เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ทุกคนก็สามารถทำได้ เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้ตนเองนอนไม่หลับบ่อย ๆ เพราะจะทำให้คุณอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง และที่สำคัญคือการพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้คุณมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นก็ลองนำวิธีต่าง ๆ เหล่านี้ไปใช้กันดูได้เลย รับรองว่าปัญหาการนอนไม่หลับจะหมดไปทันที

อ่านเพิ่มเติม : womensocool

19 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
ความงามบำรุงผิว

6 วิธีรักษาฝ้า ช่วยให้ฝ้าจางลงอย่างเห็นได้ชัด

by womensocool 18 ธันวาคม 2021
written by womensocool

ฝ้าปัญหาผิวที่หลายคนกลุ้มใจมาก ๆ เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้วหากไม่รักษาโอกาสที่จะขยายเป็นวงกว้างนั้นมีสูงมาก ทั้งยังมองเห็นได้ชัดอีกด้วย นอกจากนี้ก็จะทำให้เกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย วันนี้เราจึงมี 6 วิธีรักษาฝ้าให้ได้ผลลัพธ์เร็วทันใจมาฝาก ไปดูกันเลยว่ามีวิธีไหนบ้าง

วิธีรักษาฝ้า

1.เลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะสม 

การเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ AHA , วิตามินซี , อาร์บูติน , กรดโคจิก รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับผิวหน้าก็สามารถช่วยลดและรักษาฝ้าบนใบหน้าได้ และยังช่วยให้ผิวหน้าดูขาวใสเรียบเนียนเป็นธรรมชาติมาก ๆ อีกด้วย แต่ก็ต้องเลือกครีมที่ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อผิวด้วยเช่นกัน

2.มะขามเปียก 

การรักษาฝ้าด้วยมะเขียมเปียกสามารถช่วยลดฝ้าบนใบหน้าได้จริง โดยการนำเอาน้ำมะขามเปียกมาทาพอกบาง ๆ บนใบหน้าที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออก จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ที่สดใส เรียบเนียนและดูขาวใสมากขึ้น 

3.ฉีดสเต็มเซลล์

การฉีดสเต็มเซลล์จะช่วยให้ฝ้าดูจางลงและหายไปได้ โดยสเต็มเซลล์ที่ใช้นั้นก็จะเป็นสเต็มเซลล์จากรกเด็กที่เพิ่งคลอดหรือจากผิวหนังแกะ ที่มีคุณสมบัติช่วยให้ฝ้า กระ จุดด่างดำบนหน้าดูจางลงและหายไปในที่สุด 

4.วิธีรักษาฝ้า ด้วยไข่ขาว 

แค่นำไข่ขาวมาทาใบหน้าบริเวณที่เป็นฝ้าให้ทั่ว ทิ้งไว้อย่างน้อย 5-10 นาที ไข่ขาวจะช่วยดูดซับรอยฝ้าและสิ่งสกปรกให้หมดไปจากผิวหน้า ทำให้ผิวหน้ากระชับ เรียบเนียนมากขึ้นอีกด้วย 

5.ใบบัวบก

ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่สามารถรักษาโรคผิวหนังได้ดีมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระ ฝ้า สิวก็สามารถรักษาได้หมด โดยการนำใบบัวบกมาปั่นให้ละเอียดจากนั้นก็นำเอาน้ำมาเช็ดบริเวณใบหน้าก่อนนอนทุกวัน รอยฝ้าบนผิวหน้าก็จะค่อย ๆ จางลง จนหายไป

6.ว่านหางจระเข้

ใช้ว่านหางจระเข้ 1 ใบใหญ่แก่ ๆ นำไปแช่น้ำประมาณ 10 นาที จากนั้นนำมาปอกเปลือกล้างให้สะอาดและบดหรือปั่น  ตามด้วยนำมาพอกหน้าทิ้งไว้  15-20 นาที ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้งฝ้าจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด 

ทั้ง 6 ข้อนี้ก็เป็นวิธีรักษาฝ้าง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตนเองได้เลย และต้องบอกเลยว่าเป็นวิธีที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก ๆ เพราะฉะนั้นหากใครที่ลองมาหมดทุกวิธีแล้วไม่หาย ก็สามารถนำวิธีต่าง ๆ ที่ womensocool นำมาฝากไปทำตามได้เลย รับรองรอยฝ้าจะต้องลดจางลงจนมีสุขภาพผิวที่ดีอย่างแน่นอน 

18 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

ลดน้ำหนักแบบ IF คืออะไร ทำอย่างไร อยากมีหุ่นสวยต้องอ่าน

by womensocool 17 ธันวาคม 2021
written by womensocool

ลดน้ำหนักแบบ IF คืออะไร ไม่ว่าใครก็อยากมีหุ่นสวย ผอมเพรียวกันทั้งนั้น แต่บางทีการจะลดน้ำหนักได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งคนที่มีปัญหาลดยากด้วยแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางซะทีเดียว เพราะยังมีวิธีการลดน้ำหนักแบบ IF ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งเราจะพาไปดูกันว่าวิธีนี้เป็นอย่างไร ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากน้อยแค่ไหน

การลดน้ำหนักแบบ IF คืออะไร

IF จะเป็นวิธีการลดความอ้วนด้วยการกำหนดช่วงเวลาที่สามารถกินได้และช่วงเวลาที่ต้องอด ซึ่งการทำตามสูตรนี้อย่างน้อยคุณจะต้องอดอาหาร 1 มื้อแน่นอน ดังนั้นต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณพร้อมที่จะอดได้หรือไม่ แต่หากทำได้ละก็คุณจะบรรลุเป้าหมายได้ไม่ยาก เพราะในช่วงเวลาที่อดนั้น ร่างกายจะมีการดึงไขมันที่สะสมอยู่ออกมาใช้ ทำให้ไขมันส่วนเกินถูกสลายออกไปอย่างรวดเร็วกว่าเดิมนั่นเอง

ช่วงเวลาในการอดมีแบบไหนบ้าง

สำหรับช่วงเวลาในการอด จะมีตั้งแต่ขั้นเบสิคที่เหมาะกับผู้เริ่มต้น ไปจนถึงขั้นแอดวานซ์ที่จะมีความโหดพอสมควร นั่นคือการอดตามช่วงเวลาดังนี้

  • อด 16 ชม. กิน 8 ชม.
  • อด 19 ชม. กิน 5 ชม.
  • อด 20 ชม. กิน 4 ชม.
  • อด 24 ชม. โดยทำ 1-2 วันต่อสัปดาห์
  • กินแบบFasting 2 วันต่อสัปดาห์ โดยกินได้ไม่เกิน 500-600 kcal
  • อดอาหารแบบวันเว้นวัน

เริ่มต้นทำ IF เพื่อลดน้ำหนักอย่างไรดี

การเริ่มต้นทำ IF นั้น แนะนำว่าควรเริ่มจากแบบเบา ๆ ค่อยเป็นค่อยไปก่อนดีกว่า เพื่อให้ร่างกายได้มีการปรับตัวด้วย นั่นคือการทำตามสูตร8/16 ซึ่งอาจจะลดน้ำหนักได้ไม่เร็วนัก แต่ก็ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน และไม่หักโหมจนเกินไป โดยคุณสามารถเลือกช่วงเวลาที่จะอดและจะกินให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้เลย

การลดน้ำหนักแบบ IF คืออะไร

ทริคการทำ IF ให้ได้ผลดีที่สุด

ถึงแม้ว่าการกินแบบ Fasting จะช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและผอมเร็วทันใจก็ต้องทำตามทริคดังต่อไปนี้

  1. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้อ้วน ได้แก่ อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ขนมขบเคี้ยว อาหารฟาสต์ฟู้ดและน้ำอัดลมต่าง ๆ 
  2. ควบคุมแคลอรีที่กินในแต่ละวันไม่ให้มากจนเกินไป โดยอาจเลือกกินอาหารที่มีแคลอรีต่ำเป็นหลัก
  3. กินผักผลไม้ให้มากขึ้น จะช่วยในการลดน้ำหนักได้ดี และยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย
  4. หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำทุกวัน

การลดน้ำหนักแบบ IF ไม่ยาก เพียงแค่คุณมีวินัยในตัวเอง ไม่กินอาหารในช่วงเวลาที่ต้องอดเด็ดขาด และเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ แคลอรี่ต่ำ ก็จะช่วยให้ผอมลงได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะ ดังนั้นใครที่อยากมีหุ่นสวยแต่ลดน้ำหนักไม่ได้สักที ก็ลองมาทำตามวิธีแบบ IF กันดู แล้วจะได้ผลลัพธ์ที่โดนใจ

อ่านเพิ่มเติม : womensocool

17 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

5 เรื่องน่ารู้ กับการดูแลจุดซ่อนเร้นผู้หญิง ไม่ให้มีปัญหามากวนใจ

by womensocool 16 ธันวาคม 2021
written by womensocool

ผู้หญิงกับปัญหาจุดซ่อนเร้นมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ถือเป็นสิ่งคู่กัน และยิ่งวันนั้นของเดือนมักจะเกิดความอับชื้นได้ง่าย ส่งผลทำให้เกิดอาการแสบ คัน จนเป็นปัญหากวนใจที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนไม่มั่นใจ วันนี้เราเลยมีวิธีดูแลจุดซ่อนเร้นไม่ให้มีกลิ่นและไม่มีปัญหากวนใจมาฝากดังนี้

การดูแลจุดซ่อนเร้นผู้หญิง

1.ใช้สบู่อ่อนกับการดูแลจุดซ่อนเร้นผู้หญิง 

สำหรับวิธีการดูแลจุดซ่อนเร้นในช่วงวันนั้นของเดือนแนะนำใช้เป็นสบู่อ่อน ๆ และน้ำเปล่า ทำความสะอาดแค่ภายนอกก็พอ และที่สำคัญคือไม่ควรใช้เป็นน้ำยาล้างเฉพาะจุดซ่อนเร้น เพราะจะทำให้ไปทำลายแบคทีเรียชนิดดีในช่องคลอดได้ ทั้งยังทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และส่งผลให้ตกขาวมีอาการคันบ่อย ๆ 

2.ใช้ผ้าอนามัยที่ไม่มีน้ำหอม 

บาคนเลือกใช้ผ้าอนามัยชนิดแบบแผ่น ส่วนบางคนก็เลือกใช้ผ้าอนามัยแบบสอด ซึ่งในส่วนของตรงนี้แล้วแต่ความสะดวกในการใช้งาน แต่สิ่งที่สำคัญคือ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยที่มีน้ำหอม เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย ทั้งนี้ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก ๆ 4-6 ชั่วโมงด้วย 

3.ไม่ควรโกนขนที่จุดซ่อนเร้น 

หลายคนมีความรู้สึกว่าเมื่อถึงวันนั้นของเดือนมักจะมีอาการอับชื้น เหนอะหนะ จนทำให้ต้องโกนขนออก แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ควรโกนจนหมด เพราะขนที่อวัยวะเพศจะช่วยป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่ช่องคลอดได้ แต่หากรู้สึกว่ามันเยอะจนเกินไปก็สามารถที่จะเล็มออกได้บ้างเป็นบางส่วน 

4.เช็ดทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง 

ทุกครั้งที่คุณเข้าห้องน้ำระหว่างวันเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว การทำความสะอาดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ โดยให้คุณทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง เพื่อจะได้ป้องกันเชื้อโรคจากรูทวารเข้ามาทางช่องคลอดนั่นเอง ทำให้โอกาสติดเชื้อมีน้อยมาก 

5.งดอาหารประเภทหมักดอง 

ควรงดการทานอาหารประเภทหมักดองและอาหารทะเล เนื่องจากอาหารเล่านี้จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการตกขาว และยังทำให้เกิดปฏิกิริยา อักเสบ ระคายเคืองในช่องคลอดได้ด้วย โดยเฉพาะในช่วงวันนั้นของเดือนควรงดไปเลยจะดีกว่า

หากคุณดูแลความสะอาดและเอาใจใส่จุดซ่อนเร้นอย่างสม่ำเสมอ เพียงแค่นี้ปัญหากวนใจต่าง ๆ เกี่ยวกับจุดซ่อนเร้นก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ที่สำคัญเมื่อไม่มีปัญหาต่าง ๆ มากวนใจคุณก็จะมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำมากขึ้น ดังนั้นแล้วเมื่อได้รู้แบบนี้ก็ไม่ควรมองข้ามและไม่ควรคิดว่านี่คือเรื่องเล็ก ๆ เด็ดขาด เริ่มดูแลจุดซ่อนเร้นอย่างถูกวิธีตั้งแต่วันนี้กันเลย

อ่านเพิ่มเติม : womensocool

16 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

คนทำงานหน้าคอม ต้องรู้ 5 ข้อสำคัญในการดูแลสุขภาพ

by womensocool 15 ธันวาคม 2021
written by womensocool

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะสามรถเชื่อมต่อทุกคนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง ทั้งยังช่วยให้การดำเนินชีวิตสะดวก รวดเร็วมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับความมากที่สุด เพื่อใช้ในการทำงานตอนนี้ก็คงต้องยกให้คอมพิวเตอร์ โดยหลายคนที่ต้องทำงานอยู่กับหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ก็จะทำให้เกิดอาการเข็ดเมื่อยตลอดเวลา และยังเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ตามมาอีกด้วย วันนี้เราเลยมี 5 ข้อสำคัญกับการดูแลสุขภาพเมื่อต้องทำงานหน้าคอมนาน ๆ มาฝาก จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย

1.ทำงานหน้าคอม ต้องสวมใส่แว่นตา 

หากคุณจะต้องอยู่กับหน้าจอนาน ๆ การสวมใส่แว่นตา อย่างเช่น แว่นกรองแสงเป็นสิ่งที่จะช่วยปกป้องการโดนทำร้ายของดวงตาจากแสงสีฟ้าได้ เพราะฉะนั้นแล้วควรสวมใส่แว่นตาเพื่อเป็นการดูแลดวงตา รวมถึงการดูแลด้วยวิธีอื่น ๆ ด้วย 

2.ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ 

หลายคนเมื่อต้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ก็มักจะมีอาการปวดเมื่อย แสบตา ตาพร่ามัว ดังนั้นจึงควรปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา หรือประมาณ 4-5 นิ้ว และควรอยู่ห่างจากดวงตาประมาณ 20-28 นิ้ว 

3.พักสายตา 

แน่นอนเมื่อเราต้องอยู่หน้าจอนาน ๆ ก็จะเกิดอาการเหนื่อยล้าของดวงตาได้ เพราะฉะนั้นการพักสายตาจึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสบายตามากขึ้น โดยคุณอาจจะพักสายตาอย่างน้อย 15 นาที ทุก ๆ 1 ชั่วโมง โดยการมองไกล มองสีเขียวก็จะช่วยให้รู้สึกสบายตามากกว่าเดิม อาการปวดเมื่อยก็จะลดลงและเมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้นก็ค่อยกลับมาทำงานต่อ 

4.หลีกเลี่ยงการเปิดเพลงเลียงดัง 

หากคุณเป็นคนที่ชอบใส่หูฟังและเปิดเพลงเสียงดัง ๆ  ขณะทำงาน บอกเลยว่าเป็นพฤติกรรมที่คุณควรหลีกเลี่ยงอย่างมาก เพราะนอกจากจะทำให้คนอื่นเกิดความรำคาญแล้วก็ยังทำแก้วหูของคุณเกิดการอักเสบได้ด้วย ซึ่งอันตรายไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย 

ทำงานหน้าคอม

5.ป้องกันอาการปวดหลัง 

คุณควรทำการปรับเก้าอี้ให้อยู่ในระดับที่ไม่ให้เราต้องก้มตัว ในระยะวางเท้าอยู่ที่พื้นเพื่อเป็นการลดแรงกดดันด้านหลังที่สำคัญไม่ควรที่จะนั่งไขว้ห้างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดมากขึ้น และยังทำให้รู้สึกเมื่อยได้ง่ายอีกด้วย ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็ควรอยู่ในท่าสบาย ๆ จะดีกว่า 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อสำคัญในการดูแลสุขภาพที่เรานำมาฝาก เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะมีงานที่เยอะมากแค่ไหนก็ตาม การดูแลตัวเองถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะหากคุณไม่ดูแลตนเองเลยโอกาสที่จะเกิดอาการเจ็บป่วยนั้นมีสูงแน่นอน ดังนั้นสามารถนำวิธีที่เราแนะนำไปใช้ได้เลย เพื่อสุขภาพที่ดีไม่มีปัญหาสุขภาพมากวนใจนั่นเอง 

อ่านเพิ่มเติม : womensocool

15 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

บอกลาขนรักแร้ด้วย 5 วิธีสุดง่าย ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป

by womensocool 13 ธันวาคม 2021
written by womensocool

การมีขนรักแร้ ทำให้ผู้หญิงหลายๆ คนขาดความมั่นใจ และรู้สึกกังวลไม่น้อยเลยทีเดียว เวลาจะยกแขนทั้งทีก็กลัวใครเห็น แถมยังมีกลิ่นเต่าที่ไม่พึงประสงค์อีกด้วย ดังนั้นเรามาบอกลาขนรักแร้ กันดีกว่าด้วย 5 วิธีสุดง่าย ที่เราอยากแนะนำ ให้คุณได้ลองทำกันดู รับรองว่าจะไม่มีขนรักแร้มากวนใจอีกต่อไป

บอกลาขนรักแร้

1. ทาครีมกำจัดขนรักแร้

วิธีนี้ต้องบอกเลยว่าง่ายมาก แค่ทาครีมกำจัดขนรักแร้ โดยทาทิ้งไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด จากนั้นก็ค่อยๆ เช็ดและล้างออกได้เลย โดยขนรักแร้จะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย เนื่องจากครีมจะทำให้ขนอ่อนตัวลงและหลุดออกมาได้ง่ายนั่นเอง แต่อาจไม่เหมาะกับคนที่ผิวใต้วงแขนบอบบางสักเท่าไหร่ เพราะอาจเกิดการแพ้ได้ ที่สำคัญไม่ควรทาทิ้งไว้นานเกินกำหนดเด็ดขาด

2. ทาปูนแดงและถอนออก

การทาปูนแดง และถอนเป็นวิธีที่ใช้กันมา อย่างยาวนาน เพราะจะทำให้ถอนง่าย กว่าปกติและไม่ค่อยเจ็บอีกด้วย โดยให้นำปูนแดงที่ใช้กินหมากมาผสมกับน้ำให้ข้นๆ เหนียวๆ จากนั้นทาลงไปที่รักแร้ได้เลย ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วเริ่มถอนขนออกมาทีละเส้น แนะนำให้ลองทำดู วิธีนี้ง่ายมาก ไม่ต้องเสียเงินเยอะอีกด้วย

3. การแว็กซ์ขน

การแว็กซ์ขนก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยกำจัดขนรักแร้ได้ดีเช่นกัน เพราะผิวจะดูเรียบเนียนสวย และขนใหม่ขึ้นช้ากว่าเดิมอีกด้วย โดยซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับแว็กซ์มาใช้ได้เลย ให้คุณแปะแผ่นแว็กซ์ ลงไปตรงบริเวณที่ต้องการ จากนั้นดึงออกอย่างรวดเร็ว จะทำให้ขนรักแร้หลุดออกมาด้วย แต่จะมีอาการเจ็บนิดหน่อย และอาจมีรอยแดงเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้แนะนำให้เช็ดด้วยโทนเนอร์ หลังจากแว็กซ์จะช่วยลดการเกิดรอยแดงได้ดี

4. ใช้เครื่องกำจัดขนรักแร้

ในยุคที่ไฮเทคแบบนี้ ก็มีวิธีกำจัดขนรักแร้ที่สะดวกง่ายดายกว่าเดิม นั่นคือการใช้เครื่องกำจัดขนนั่นเอง สามารถกำจัดขนรักแร้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็จะมีอาการเจ็บและแสบอยู่บ้าง 

5. บอกลาขนรักแร้ด้วยสูตรธรรมชาติ

คุณสามารถกำจัดขนรักแร้ให้หมดไปด้วยสูตรธรรมชาติได้เช่นกัน โดยนำน้ำตาลกับมะนาวมาผสมกัน แล้วตั้งบนไฟอ่อนๆ เพื่อนให้น้ำตาลละลายจนมีความเหนียว แล้วนำมาทาที่รักแร้ปิดทับด้วยผ้าดิบบางๆ ปล่อยทิ้งไว้เลยประมาณ 10 นาที จากนั้นให้ดึงผ้าออก ขนรักแร้ก็จะหลุดออกมาด้วย ง่ายมากเลยใช่ไหมล่ะ

ใครที่กำลังเจอกับปัญหาขนรักแร้ดกดำจนไม่กล้าโชว์ผิวใต้วงแขน ก็ลองทำตามวิธีเหล่านี้กันดู แล้วจะช่วยกำจัดขนรักแร้ที่กวนใจให้หมดไปได้อย่างแน่นอน ทีนี้ก็สามารถใส่เสื้อสายเดี่ยวโชว์แขนได้อย่างมั่นใจแล้ว

อ่านเพิ่มเติม : womensocool

13 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สุขภาพ

ชอบกินปิ้งย่างต้องระวัง 5 โรคที่อาจป่วยโดยไม่รู้ตัว

by womensocool 12 ธันวาคม 2021
written by womensocool

คุณเป็นคนหนึ่งที่ ชอบกินปิ้งย่างหรือเปล่า รู้ไหมว่า การกินบ่อยเกินไปก็อาจทำให้ป่วยโดยไม่รู้ตัวได้เหมือนกัน เนื่องจากหลายๆ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพนั่นเอง โดยวันนี้เราก็จะพาคุณไปดูกันว่าการกินอาหารปิ้งย่าง ทำให้เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง และมีสาเหตุมาจากอะไร

กินปิ้งย่าง

1.กินปิ้งย่าง เสี่ยงไข้หูดับ

โรคนี้เกิดจากการกินเนื้อหมูสุกๆ ดิบๆ ซึ่งมีเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับนั่นเอง โดยอันตรายถึงขั้นทำให้พิการและเสียชีวิตได้เลยทีเดียว ดังนั้นใครที่ชอบกินอาหารปิ้งย่างก็จะต้องย่างหมูให้สุกดีก่อน ไม่ควรรีบร้อนกินทั้งที่ยังไม่สุก 100% เด็ดขาด

2.โรคหัวใจ

การกินแนวปิ้งย่างบ่อยๆ ในปริมาณมากจะทำให้เสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ เนื่องจากการได้รับแคลอรีและไขมันในอาหารมากเกินไป จนทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โดยเฉพาะคนที่ชอบกินเนื้อหมูติดมันด้วยแล้ว จะมีความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก

3.มะเร็งหลอดอาหาร

อาหารปิ้งย่าง มักจะเกิดการไหม้ของเนื้อสัตว์ จึงทำให้มีสารก่อมะเร็งขึ้นมา โดยเมื่อกินเข้าไปบ่อยๆ ก็จะเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ และยังเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอื่นๆ อีกด้วย เช่น มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น ซึ่งหากใครชอบกินจริงๆ ก็ควรพยายามหลีกเลี่ยงตรงส่วนที่ไหม้ โดยตัดเนื้อส่วนนั้นทิ้งไปก่อน นอกจากนี้ก็ควรเลือกใช้เตาไร้ควันแทนด้วย

4.ท้องเสีย

การกินอาหารปิ้งย่าง หากทำความสะอาดตะแกรงย่าง หรือวัตถุดิบต่างๆ ไม่ดีพอ ก็อาจจะมีสิ่งปนเปื้อนที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ท้องร่วงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากมีสารปนเปื้อนมากับผัก หรือ สารบอแรกซ์ในเนื้อหมู ซึ่งหากเกิดอาการท้องเสียรุนแรงจะทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกิดภาวะช็อคได้อีกด้วย ต้องบอกเลยว่าอันตรายมากทีเดียว

5.โรคอ้วน

จริงอยู่ที่ อาหารปิ้งย่างทำให้อ้วนน้อยกว่าอาหารที่ผ่านการทอดด้วยน้ำมัน แต่หากอาหารปิ้งย่างที่กินนั้นเป็นเนื้อหมูติดมัน และกินในปริมาณเยอะ ก็ทำให้เป็นโรคอ้วนได้เหมือนกัน ทั้งยังตามมาด้วยโรคอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ดังนั้นควรกินแต่พอประมาณ ไม่กินบ่อยเกินไปจะดีที่สุด

เห็นไหมว่าการกินอาหารปิ้งย่างมากเกินไป ก็ส่งผลให้เสี่ยงเป็นโรคต่างๆ ได้เหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะกินอาหารปิ้งย่างไม่ได้ เพียงแต่ต้องลดปริมาณให้น้อยลง อย่ากินบ่อยเกินไป และควรปิ้งอาหารให้สุกเต็มที่ก่อนกินไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู ไก่ กุ้ง หรือเนื้อสัตว์ชนิดไหนก็ตาม นอกจากนี้ควรล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ในการย่างให้ดีด้วย เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

อ่านเพิ่มเติม : womensocool

12 ธันวาคม 2021 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4

ติดตามเรา

Facebook Twitter Instagram Youtube

หมวดหมู่

  • ความงาม (12)
  • ทรงผมผู้หญิง (2)
  • บทความ (2)
  • บำรุงผิว (6)
  • สุขภาพ (24)
  • เครื่องสำอาง (1)
  • ไม่มีหมวดหมู่ (286)

ผู้สนับสนุนเว็บ

  • horoupdate.com
  • lifestyledd.com
  • petssocool.com
  • travelsocool.com
  • sexlifesocool.com
  • seriesocool.com

บทความโดดเด่น

  • 1

    เคล็ดลับผิวสวย ผิวดูสุขภาพดี ที่ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก

    4 ธันวาคม 2021
  • 2

    5 ที่ดัดขนตา เนรมิตขนตาให้งอนสวย ดูเป๊ะมากขึ้น

    11 มกราคม 2022
  • 3

    ไอเป็นเลือด อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

    7 มกราคม 2022
  • 4

    สีกระเป๋าสตางค์ เรียกทรัพย์ ใช้แล้วเงินปัง

    10 มกราคม 2022

womensocool แนะนำ

  • 6 อาหารคุมน้ำตาลในเลือด เหมาะกับคนเป็นเบาหวานที่สุด

    13 มกราคม 2022
  • น้ำมูกสีไหน บอกอะไรบ้าง คุณกำลังป่วยเป็นอะไรกันแน่

    12 มกราคม 2022
  • 5 ที่ดัดขนตา เนรมิตขนตาให้งอนสวย ดูเป๊ะมากขึ้น

    11 มกราคม 2022
  • สีกระเป๋าสตางค์ เรียกทรัพย์ ใช้แล้วเงินปัง

    10 มกราคม 2022
  • Facebook
  • Twitter
  • Instagram
  • Youtube

@2020 - All Right Reserved. Designed and Developed by womensocool.com


Back To Top